Rated 4.98-stars across 2K+ reviews
Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews

คุณอาจชอบกินหวาน เพราะมียีน SLC2A2

GeneusDNA profile image By
GeneusDNA
|
Nov 12, 2024
|
326
อาหาร
สุขภาพ
พันธุศาสตร์
ยีน SLC2A2, ชอบกินหวาน, ติดหวาน กรรมพันธุ์
Summary
ยีน SLC2A2, ชอบกินหวาน, ติดหวาน กรรมพันธุ์

หลายคนสงสัยว่าทำไมบางครั้งถึงชอบกินของหวานมากกว่าคนอื่น แม้จะรู้ว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพ คำตอบอาจอยู่ที่ “ยีน SLC2A2” ซึ่งมีบทบาทเกี่ยวกับการตอบสนองต่อรสหวาน โดยยีนนี้ทำหน้าที่ในการขนส่งกลูโคสเข้าสู่เซลล์ และส่งผลต่อความรู้สึกอยากอาหารที่มีรสหวานสูง

ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับยีน SLC2A2 ว่าเกี่ยวข้องกับความชอบกินหวานอย่างไร และการติดกินหวาน เป็นเรื่องของกรรมพันธุ์หรือพฤติกรรม รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากคุณติดหวานเกินไป

รู้ทันอาการติดหวาน เป็นเพราะพฤติกรรม หรือว่ามียีน SLC2A2

ยีน SLC2A2 คืออะไร?

ยีน SLC2A2 (Solute Carrier Family 2 Member 2) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Glucose Transporter Type 2 เป็นยีนที่ทำหน้าที่ผลิตโปรตีนที่ช่วยในการขนส่งกลูโคสเข้าสู่เซลล์ของร่างกาย โดยเฉพาะในตับ ตับอ่อน และไต โดยหน้าที่หลักของยีน SLC2A2 คือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และการตอบสนองต่อการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง

ยีนนี้มีผลต่อการทำงานของร่างกาย ในการตรวจจับระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดความรู้สึกหิว หรืออยากรับประทานอาหารที่มีรสหวานได้มากขึ้น หากมีการแปรผันของยีน SLC2A2 บางตำแหน่ง จะส่งผลให้การควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายผิดปกติ ทำให้คนที่มียีนชนิดนี้ มักมีแนวโน้มที่จะชอบกินหวานมากกว่าคนทั่วไป และมีความเสี่ยงต่อการบริโภคน้ำตาลเกินปริมาณที่เหมาะสม

การติดกินหวาน เป็นกรรมพันธุ์หรือพฤติกรรม?

หลายคนเข้าใจว่า การชอบกินหวานเป็นแค่พฤติกรรมที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่จริงๆ แล้วการติดหวานอาจมีพื้นฐานมาจากกรรมพันธุ์ โดยมียีน SLC2A2 เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญ เพราะการแปรผันของยีน SLC2A2 อาจส่งผลต่อการตอบสนองของร่างกายต่อรสหวาน เช่น ทำให้คุณรู้สึกพึงพอใจ หรือมีความสุข เมื่อได้ทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง ส่งผลให้เกิดความต้องการบริโภคน้ำตาลมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการกินก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้ติดหวานได้เช่นกัน หากคุณเคยชินกับการกินของหวานตั้งแต่เด็ก หรือได้รับอาหารที่มีรสหวานบ่อยๆ ร่างกายและสมองจะคุ้นเคยกับการได้รับน้ำตาลเป็นประจำ จนเกิดความเคยชิน และทำให้รู้สึกอยากกินหวานมากขึ้น แม้จะไม่มีการแปรผันของยีนก็ตาม

ดังนั้น การติดหวานสามารถเกิดได้จากทั้งกรรมพันธุ์ และพฤติกรรมการรับประทานอาหาร หากคุณมียีน SLC2A2 ที่มีแนวโน้มชอบหวาน บวกกับพฤติกรรมการกินที่ชอบอาหารที่มีน้ำตาลสูง จะยิ่งทำให้เลิกติดหวานได้ยากกว่าเดิม

การติดกินหวาน เป็นกรรมพันธุ์หรือพฤติกรรม?

การตรวจยีนแนวโน้มติดหวาน

การตรวจยีนเป็นวิธีที่ทันสมัยในการตรวจสอบว่า เรามียีนที่ส่งผลต่อการติดหวานหรือไม่ โดยการตรวจยีน SLC2A2 จะสามารถบอกได้ว่า เรามีความเสี่ยงที่จะติดหวานมากน้อยแค่ไหน รวมถึงช่วยให้เราวางแผนการดูแลสุขภาพ และควบคุมการรับประทานอาหารได้ดียิ่งขึ้น 

การตรวจยีนในปัจจุบันสามารถทำได้ผ่านบริการตรวจสุขภาพแบบ DNA เช่น การตรวจจาก Geneus DNA ซึ่งจะวิเคราะห์ยีนที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญกลูโคส และแนวโน้มการติดหวานได้อย่างแม่นยำ

ข้อดีของการตรวจยีนคือช่วยให้เรารู้จักร่างกายของตัวเองในเชิงลึก และสามารถนำข้อมูลมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หากรู้ว่ามียีน SLC2A2 ที่มีแนวโน้มทำให้ชอบกินหวาน ก็สามารถหาวิธีควบคุมพฤติกรรมการกิน และเลือกทานอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพได้

การตรวจยีนแนวโน้มติดหวาน Geneus DNA

อันตรายของการติดหวาน

การติดหวานไม่ใช่แค่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือเสี่ยงต่อโรคอ้วนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพในหลายด้าน ดังนี้

1. เสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2
การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่เป็นเวลานานจะทำให้ตับอ่อนทำงานหนักขึ้นเพื่อผลิตอินซูลิน จนในที่สุดอินซูลินไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

2. เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
การรับประทานน้ำตาลมากเกินไปสามารถเพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังอาจเพิ่มความดันโลหิตและทำให้เกิดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด

3. ฟันผุ
น้ำตาลเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดฟันผุ โดยเชื้อแบคทีเรียในช่องปากจะใช้น้ำตาลเป็นอาหาร และผลิตกรดที่ทำลายเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุได้ง่ายหากไม่ดูแลสุขภาพช่องปากอย่างถูกวิธี

4. เสี่ยงต่อโรคตับ
น้ำตาลฟรุกโตสซึ่งพบได้ในน้ำอัดลมและอาหารหวานบางประเภท จะถูกเผาผลาญในตับเป็นหลัก การบริโภคฟรุกโตสมากเกินไปจะทำให้ตับสะสมไขมันมากขึ้นจนเสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคตับแข็งในระยะยาว

5. ส่งผลต่อสุขภาพจิต
การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวลได้ เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่คงที่ทำให้ร่างกายรู้สึกไม่สบายตัว และส่งผลต่อการทำงานของสมอง รวมถึงทำให้การควบคุมอารมณ์ไม่ดีเท่าที่ควร

การรู้จักยีนของตนเองเป็นก้าวแรกในการดูแลสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณพบว่าตัวเองติดหวาน หรือมีความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจากน้ำตาล ควรเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

อันตรายของการติดหวาน

chat line chat facebook