ทำความเข้าใจ SJS (Stevens-Johnson Syndrome) คืออะไร? ทำไมบางคนแพ้ยารักษาโรคเกาต์ จนอาจถึงขั้นเสียชีวิต รู้ความเสี่ยงก่อน สามารถป้องกันได้
โรคเกาต์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย ส่งผลให้เกิดการอักเสบที่ข้ออย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดบวมและแดงที่ข้อ โดยการรักษาโรคเกาต์มักใช้ยาเพื่อลดอาการปวด และควบคุมระดับกรดยูริก แต่การใช้ยาเหล่านี้อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น SJS (Stevens-Johnson Syndrome) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจทำให้เสียชีวิตได้
โรคเกาต์เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย ซึ่งเป็นสารที่ได้มาจากการย่อยสลายของ อาหารบางชนิด และหากมีมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการปวดที่ข้อ อันเป็นอาการของโรคเกาต์ได้ โดยการรักษาโรคเกาต์มักใช้ยา เพื่อลดการอักเสบ และควบคุมระดับกรดยูริก ซึ่งยาที่พบได้บ่อย ได้แก่
แต่แม้ว่ายาเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเกาต์ ทว่าการใช้ยาในกลุ่มเหล่านี้ อาจมีความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้ที่ร้ายแรง โดยเฉพาะ SJS ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกาย มีปฏิกิริยาต่อยาอย่างรุนแรงได้
SJS (Stevens-Johnson Syndrome) คือ ภาวะที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อยา หรือสารเคมีที่ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง จนทำลายผิวหนัง และเยื่อบุภายในร่างกาย จนถึงขั้นอวัยวะล้มเหลวและเสียชีวิตได้ ซึ่งภาวะนี้มักเริ่มต้นด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะ และอ่อนเพลีย รวมถึงมีผื่นขึ้นที่ผิวหนัง และพัฒนาเป็นแผลพุพองหรือผิวหนังลอกในภายหลัง
อาการของ SJS:
SJS เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องการการรักษาทันที หากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและเหมาะสม อาจส่งผลถึงชีวิตได้ โดยภาวะ SJS (Stevens-Johnson Syndrome) มักเกิดจากการใช้ยา ดังต่อไปนี้
จึงสามารถสรุปได้ว่า SJS ไม่เกิดขึ้นเฉพาะจากการใช้ยารักษาโรคเกาต์เท่านั้น แต่สามารถเกิดจากการใช้ยาหลายประเภท ซึ่งยาที่มักใช้รักษาโรคเกาต์เอง ก็จัดเป็นยาในกลุ่มเสี่ยงที่อาจทำให้เป็น SJS ด้วย
การใช้ยาในการรักษาโรคเกาต์อาจมีความเสี่ยงในการเกิด SJS ซึ่งอาจเกิดจาก:
ยีน HLA-B คือ ยีนที่มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะในการระบุ และจัดการกับสารแปลกปลอม เช่น เชื้อโรคและยา โดยทุกคนมียีน HLA-B อยู่ในร่างกายอยู่แล้ว เนื่องจากยีนนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบ HLA (Human Leukocyte Antigen)
แต่รูปแบบของยีนนี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งการมีรูปแบบเฉพาะของยีน HLA-B เช่น HLA-B*1502 อาจทำให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อยาอย่างรุนแรง และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด SJS ให้กับบางคนได้ อีกทั้งยีน HLA-B ยังเป็นยีนในระบบภูมิคุ้มกัน ที่สามารถส่งต่อกันผ่านพันธุกรรมได้ ทำให้เราสามารถตรวจยีนเพื่อลดโอกาสในการเป็น SJS ได้นั่นเอง
เพื่อช่วยในการลดความเสี่ยงของการเกิด SJS ผู้ป่วยโรคเกาต์ที่ต้องใช้ยาประเภทต่างๆ ในการรักษา และกังวลว่าตนจะมีความเสี่ยงเป็น SJS สามารถตรวจยีน HLA-B ผ่านบริการจาก Geneus DNA ซึ่งเป็นบริการที่มีการตรวจดีเอ็นเอ (DNA) เพื่อระบุรูปแบบของยีน HLA-B ในพันธุกรรมของแต่ละคนได้
โดยทางจีเนียสมีนวัตกรรม Whole Genome-wide Array (วิเคราะห์จำนวน SNPs กว่า 10 ล้านตำแหน่ง) ทำให้สามารถถอดรหัสพันธุกรรมได้มากกว่า 20,000 ยีน ส่งผลให้ผู้ที่ใช้บริการของ Geneus DNA สามารถรู้ผลทางสุขภาพ และลักษณะทางพันธุกรรมได้มากกว่า 500+ รายการ ครอบคลุมความเสี่ยงโรค แนวโน้มการแพ้ยา โภชนาการ วิตามิน การออกกำลังกาย และการพักผ่อนที่เหมาะกับตัวเอง ซึ่งผลการวิเคราะห์จัดทำขึ้นในห้องแล็บประเทศสหรัฐอเมริกา มาตรฐานระดับโลก ทำให้มีความแม่นยำสูงมาก ช่วยให้ท่านรู้ทันสุขภาพของตัวเอง และดูแลตัวเองได้อย่างปลอดภัยที่สุด
ดังนันจึงสรุปได้ว่า การรักษาโรคเกาต์เป็นสิ่งสำคัญ แต่การใช้ยาที่ไม่ระมัดระวัง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น SJS ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจส่งผลถึงชีวิตได้เช่นกัน ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดในการระมัดระวังว่าเรามีโอกาสเสี่ยงเป็น SJS หรือไม่ ก็คือการตรวจดีเอ็นเอให้แน่ใจว่า เรามีรูปแบบของยีน HLA-B ที่เสียงต่อการเกิด SJS ไหมนั่นเอง