Rated 4.98-stars across 2K+ reviews
Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews

ปวดตา เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ ระวัง! เสี่ยงโรคต้อหิน

GeneusDNA profile image By
GeneusDNA
|
Nov 08, 2024
|
392
พันธุศาสตร์
โรค
โรคต้อหิน กรรมพันธุ์, โรคต้อหิน สาเหตุ, โรคต้อหิน เกิดจาก
Summary
โรคต้อหิน กรรมพันธุ์, โรคต้อหิน สาเหตุ, โรคต้อหิน เกิดจาก

อาการปวดตาและเห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟอาจเป็นสัญญาณเตือนของ "โรคต้อหิน" โรคที่สามารถทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โรคต้อหินเป็นภาวะที่เกิดจากความดันในลูกตาสูงขึ้น ซึ่งทำลายขั้วประสาทตาและอาจทำให้การมองเห็นลดลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งตาบอดได้

การมองเห็นเป็นสิ่งที่สำคัญในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่เคยสังเกตไหมว่าบางครั้งอาจเกิดอาการแปลกๆ ขึ้นกับดวงตาของเรา เช่น ปวดตา มองเห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ หรือมีความผิดปกติอื่นๆ และหากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยๆ คุณอาจกำลังเผชิญกับอาการของ “โรคต้อหิน” โดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นภาวะที่สามารถทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรหากไม่รีบรักษา มารู้จักกับโรคต้อหินให้มากขึ้นว่า โรคต้อหินคืออะไร อาการเสี่ยงมีอะไรบ้าง และมีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้

รู้หรือไม่? โรคต้อหิน อาจเกิดจากพันธุกรรม

โรคต้อหินคืออะไร?

“โรคต้อหิน” (Glaucoma) คือโรคทางตาที่เกิดจากความดันในลูกตาสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อขั้วประสาทตา เมื่อขั้วประสาทตาถูกทำลาย จะทำให้การส่งสัญญาณจากดวงตาไปยังสมองผิดปกติ ส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง ซึ่งโรคนี้สามารถทำให้การมองเห็นแคบลงเรื่อยๆ จนในที่สุดอาจทำให้ตาบอดได้ หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา

โดยปกติ โรคต้อหินสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  • ต้อหินมุมเปิด (Open-Angle Glaucoma) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยมักไม่ค่อยรู้ตัว เนื่องจากไม่มีอาการเจ็บปวดหรือสัญญาณเตือนใดๆ ความดันตาจะเพิ่มขึ้นช้าๆ จนกระทั่งเริ่มสูญเสียการมองเห็น
  • ต้อหินมุมปิด (Angle-Closure Glaucoma) ชนิดนี้พบได้ไม่บ่อยนัก แต่มีความรุนแรงสูง เพราะสามารถทำให้ความดันตาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดอาการปวดตาอย่างรุนแรง เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ มองเห็นภาพเบลอ และอาจทำให้การมองเห็นเสียหายอย่างถาวรภายในไม่กี่วัน

อาการของโรคต้อหิน

อาการของโรคต้อหิน

หลายคนมักไม่รู้ตัวว่าตนเองมีความเสี่ยงเป็นโรคต้อหิน เนื่องจากในระยะแรกอาจไม่มีอาการที่ชัดเจน แต่เมื่ออาการเริ่มปรากฏขึ้น อาจสังเกตได้ดังนี้

  • ปวดตา บางครั้งอาจรู้สึกปวดร้าวบริเวณรอบดวงตาหรือกระบอกตา
  • เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ โดยเฉพาะเมื่อมองไฟที่สว่างจ้า เช่น ไฟรถยนต์ ไฟถนน หรือหลอดไฟในบ้าน
  • ตาพร่า มองเห็นภาพไม่ชัด โดยเฉพาะในช่วงที่มีแสงน้อย หรือเมื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมจากแสงจ้าไปยังที่มืด
  • การมองเห็นแคบลง หรือเริ่มมองไม่เห็นวัตถุที่อยู่ด้านข้าง แม้ว่าสายตาตรงกลางจะยังมองเห็นปกติ
  • ตาแดงและคลื่นไส้ อาจเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะหรืออาการอื่นๆ ในกรณีที่ความดันตาสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน

หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที เนื่องจากการรักษาในระยะเริ่มต้นสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของขั้วประสาทตา และป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้

ปัจจัยความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน

การเกิดโรคต้อหินนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งจากพันธุกรรมและสภาพร่างกาย โดยปัจจัยเสี่ยงหลักๆ มีดังนี้

  1. พันธุกรรมและยีน (Genetic Factors) หากครอบครัวของคุณมีประวัติโรคต้อหิน คุณมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้ได้ เนื่องจากโรคต้อหินมีความเกี่ยวข้องกับยีนหลายชนิด โดยเฉพาะในกรณีที่มียีนที่ควบคุมความดันในลูกตาผิดปกติ
  2. อายุ (Age) ความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อหินจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุเกิน 40 ปี โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาเรื่องความดันตาสูง
  3. โรคประจำตัว (Medical Conditions) เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ รวมถึงภาวะสายตาสั้นมากหรือยาวมาก ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อหินได้
  4. การใช้ยาบางชนิด (Medication) ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Steroids) เป็นตัวกระตุ้นที่สามารถเพิ่มความดันในลูกตา ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหินได้
  5. การบาดเจ็บที่ดวงตา (Eye Injuries) การได้รับอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บที่ดวงตา เช่น การกระแทกที่ศีรษะหรือตา อาจทำให้ระบบความดันในลูกตาผิดปกติ
  6. การสะสมความดันในลูกตา (Intraocular Pressure) ความดันตาสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในการเกิดโรคต้อหิน ความดันที่สูงเกินไปจะไปกดขั้วประสาทตา ทำให้เกิดความเสียหายได้

ปัจจัยความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน

การตรวจยีนความเสี่ยงโรคต้อหิน Geneus DNA

การตรวจยีนเพื่อประเมินความเสี่ยงโรคต้อหินในปัจจุบันถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาช่วยในการดูแลสุขภาพดวงตา โดย Geneus DNA เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการตรวจยีนที่ใช้เทคโนโลยี Whole Genome-wide Array ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความผิดปกติของยีนที่เกี่ยวข้องกับ โรคต้อหินได้อย่างละเอียด 

เทคโนโลยีนี้สามารถตรวจสอบยีนหลายพันชนิดพร้อมกัน เช่น MYOC, OPTN, WDR36 และยีนอื่นๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันภายในดวงตาและความไวของขั้วประสาทตา ทำให้สามารถคาดการณ์ความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ล่วงหน้า แม้จะยังไม่มีอาการชัดเจน โดยการตรวจยีนด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงนี้ช่วยให้แพทย์และผู้เชี่ยวชาญสามารถวางแผนการป้องกันและดูแลดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

รวมถึงช่วยในการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมในกรณีที่พบความเสี่ยงสูง การมีข้อมูลทางพันธุกรรมอย่างแม่นยำจึงเป็นการเปิดมิติใหม่ในการดูแลสุขภาพดวงตาในยุคดิจิทัล ช่วยให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสามารถเฝ้าระวังและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคต้อหินได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตรวจ DNA โรคต้อหิน

การป้องกันและแนวทางการรักษาโรคต้อหิน

การป้องกันโรคต้อหินสามารถทำได้โดยการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงควรตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อเฝ้าระวังการเกิดโรค การรักษาโรคต้อหินในปัจจุบันสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค เช่น

  • การใช้ยาหยอดตา (Eye Drops) เพื่อลดความดันในลูกตา
  • การใช้เลเซอร์ (Laser Treatment) เพื่อปรับสภาพความดันในตาให้เหมาะสม
  • การผ่าตัด (Surgery) สำหรับกรณีที่รุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ

การเห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟหรืออาการปวดตาเป็นสัญญาณที่ไม่ควรละเลย เพราะอาจเป็นอาการเบื้องต้นของโรคต้อหินได้ หากพบความผิดปกติเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้อง เพราะการรักษาในระยะเริ่มต้นสามารถช่วยชะลอการสูญเสียการมองเห็น และป้องกันตาบอดในอนาคตได้

ดังนั้น อย่าละเลยสัญญาณเตือนจากดวงตาของคุณ หากพบความผิดปกติ ควรรีบตรวจสุขภาพตาทันที เพื่อตรวจหาโรคต้อหินตั้งแต่ระยะแรกและดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดีตลอดไป

 

chat line chat facebook