Rated 4.98-stars across 2K+ reviews
Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews

รู้จัก โรคปริทันต์อักเสบ ปัญหาช่องปาก อันตรายกว่าที่คิด

GeneusDNA profile image By
GeneusDNA
|
Dec 12, 2024
|
437
สุขภาพ
พันธุศาสตร์
โรค
โรคปริทันต์อักเสบ ยีน, เหงือกอักเสบ กรรมพันธุ์, เหงือกอักเสบ สาเหตุ
Summary
โรคปริทันต์อักเสบ ยีน, เหงือกอักเสบ กรรมพันธุ์, เหงือกอักเสบ สาเหตุ

โรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) เป็นหนึ่งในปัญหาช่องปากที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อในเนื้อเยื่อปริทันต์รอบฟัน หรือบริเวณเหงือก

หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ฟันหลุดร่วงได้ การรับรู้เกี่ยวกับโรคปริทันต์อักเสบจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถดูแลและป้องกัน ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากและร่างกายในภายหลัง

ปัญหาช่องปาก โรคปริทันต์อักเสบ อาจเกิดจาก DNA 

โรคปริทันต์อักเสบ หรือโรคเหงือกอักเสบ คืออะไร?

โรคปริทันต์อักเสบ คือ ภาวะที่เกิดจากการอักเสบ และการติดเชื้อที่เนื้อเยื่อปริทันต์ (เหงือก) รอบๆ ฟัน ซึ่งเนื้อเยื่อเหล่านี้ทำหน้าที่ช่วยยึดฟันไว้กับกระดูกขากรรไกร เมื่อเกิดการอักเสบขึ้น การติดเชื้อจะเริ่มทำลายเนื้อเยื่อเหงือก กระดูกขากรรไกร และเส้นเอ็นที่ยึดฟัน ซึ่งอาจทำให้ฟันหลุดร่วงได้ในที่สุด โรคนี้มีความร้ายแรง และซับซ้อนกว่าการอักเสบของเหงือก (Gingivitis) ทั้งยังเป็นระยะเริ่มต้นของปัญหาช่องปากด้วย

โรคปริทันต์อักเสบมักเริ่มจากคราบพลัค (Plaque) ที่เกาะอยู่ตามผิวฟันและเหงือก คราบพลัคเป็นฟิล์มบางๆ ที่เกิดจากการสะสมของแบคทีเรีย เมื่อปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่ได้รับ การกำจัดออก คราบพลัคจะกลายเป็นหินปูนที่ยากต่อการทำความสะอาดด้วยการแปรงฟันทั่วไป หินปูนนี้สามารถนำไปสู่การอักเสบของเหงือก และเมื่อการอักเสบลุกลามลงสู่เนื้อเยื่อปริทันต์ จะเกิดการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น

โรคปริทันต์อักเสบ เกิดจากอะไร?

สาเหตุหลักของ โรคปริทันต์อักเสบ มาจากการสะสมของคราบพลัค และหินปูนที่ไม่ถูกกำจัดออกอย่างสม่ำเสมอ คราบพลัคที่สะสมตามฟันและเหงือก เป็นแหล่งเพาะแบคทีเรียที่สร้างกรดและสารพิษ เมื่อมีการสะสมเป็นเวลานาน แบคทีเรียจะทำลายเนื้อเยื่อเหงือก ทำให้เกิดอาการบวม แดง และเลือดออกง่าย ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการอักเสบของเหงือก และหากไม่ได้รับการรักษาทันที จะกลายเป็นโรคปริทันต์อักเสบที่ลุกลามมากขึ้น

นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลให้เกิดโรคปริทันต์อักเสบ ได้แก่

  • การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคปริทันต์อักเสบ และทำให้สุขภาพช่องปากเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว การสูบบุหรี่ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อได้ยากขึ้น และยังทำให้การรักษาโรคช่องปากมีประสิทธิภาพน้อยลง
  • ความเครียด: ภาวะความเครียดสูงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานต่อการติดเชื้อในช่องปากได้ดี
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: โดยเฉพาะในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ซึ่งฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงจะทำให้เหงือกไวต่อการอักเสบมากขึ้น
  • โรคเบาหวาน: ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคปริทันต์อักเสบ เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูง ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีในช่องปาก
  • พันธุกรรม: บางคนอาจมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่ทำให้มีโอกาสเกิดโรคปริทันต์อักเสบมากกว่าผู้อื่น

อันตรายจากโรคปริทันต์อักเสบ

อันตรายจากโรคปริทันต์อักเสบ

การละเลยการรักษาโรคปริทันต์อักเสบ อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงมากขึ้นได้ ดังนี้

  • การสูญเสียฟัน: เมื่อเนื้อเยื่อปริทันต์ถูกทำลายมากขึ้น กระดูกที่ยึดฟันจะเริ่มสลายตัว ทำให้ฟันไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว และเริ่มคลอนจนหลุดร่วง
  • การติดเชื้อในกระแสเลือด: เชื้อแบคทีเรียจากช่องปากสามารถแพร่เข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดการติดเชื้อในอวัยวะอื่นๆ เช่น หัวใจและหลอดเลือด
  • เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด: การอักเสบเรื้อรังในช่องปากมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยง ในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากแบคทีเรียที่แพร่กระจายสามารถส่งผลต่อ การทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด
  • ส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะพบว่า การติดเชื้อปริทันต์อักเสบทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยากขึ้น เพราะโรคปริทันต์อักเสบทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และเพิ่มการอักเสบในร่างกาย

อาการของโรคปริทันต์อักเสบ

โรคปริทันต์อักเสบสามารถแสดงอาการได้หลายรูปแบบ ซึ่งผู้ที่สังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันตกรรมทันที

  • เหงือกบวมแดงและเลือดออกง่ายเมื่อแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน
  • มีกลิ่นปากรุนแรงอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะทำความสะอาดช่องปากแล้ว
  • ฟันเริ่มคลอนหรือหลุดออก
  • เหงือกหดตัวลง ทำให้ฟันดูยาวขึ้น
  • รู้สึกปวดเหงือกหรือมีหนองไหลออกจากเหงือก

วิธีการรักษาโรคปริทันต์อักเสบ

การรักษาโรคปริทันต์อักเสบจะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค โดยสามารถแบ่งเป็นการรักษาเบื้องต้น และการรักษาในกรณีที่รุนแรง

การรักษาเบื้องต้น

  • การทำความสะอาดช่องปาก: เป็นการขจัดคราบพลัคและหินปูนที่สะสมอยู่ตามฟันและเหงือก การทำความสะอาดลึกหรือการขูดหินปูน (Scaling) และการเกลารากฟัน (Root Planing) ช่วยกำจัดคราบพลัคที่สะสมใต้เหงือก และบนรากฟัน
  • การใช้ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย: ทันตแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อช่วยลดการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก
  • การดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ: การแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธี สามารถช่วยลดคราบพลัค และป้องกันการเกิดโรคซ้ำได้

การรักษาในกรณีที่รุนแรง

  • การผ่าตัดเหงือก (Flap Surgery): ในกรณีที่การอักเสบลุกลามมาก จนไม่สามารถรักษาด้วยการทำความสะอาดปกติ ทันตแพทย์อาจต้องผ่าตัดเหงือก เพื่อทำความสะอาด และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย
  • การปลูกเนื้อเยื่อเหงือก (Gum Grafting): หากมีการสูญเสียเหงือกอย่างรุนแรง การปลูกเนื้อเยื่อเหงือกจะช่วยฟื้นฟูเหงือกที่เสียหาย
  • การปลูกกระดูก (Bone Grafting): ในกรณีที่กระดูกขากรรไกรถูกทำลาย การปลูกกระดูกจะช่วยให้ฟันมีสิ่งยึดเหนี่ยวใหม่

การป้องกันโรคปริทันต์อักเสบ

 

การป้องกันโรคปริทันต์อักเสบ

การป้องกันโรคปริทันต์อักเสบสามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพช่องปากให้ดี โดยมีขั้นตอนดังนี้

  • แปรงฟันอย่างถูกวิธี: ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม เพื่อป้องกันการระคายเคืองของเหงือก
  • ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ: ไหมขัดฟันช่วยกำจัดคราบพลัค และเศษอาหารที่ติดอยู่ระหว่างฟัน ที่การแปรงฟันไม่สามารถเข้าถึงได้
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำให้การฟื้นตัวจากโรคปริทันต์อักเสบช้าลง และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้
  • เข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำ: การตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ ช่วยให้สามารถตรวจพบปัญหาช่องปากได้เร็ว และทำให้สามารถรักษาได้ทันเวลา

ตรวจยีนแนวโน้มความเสี่ยงโรคปริทันต์อักเสบ

นอกจากนี้การตรวจยีนเพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคปริทันต์อักเสบ เป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้เราสามารถทราบถึง ปัจจัยทางพันธุกรรมที่อาจเป็นสาเหตุของโรคนี้ได้ โดยยีนบางชนิด เช่น IL-1 และ TNF-α มีบทบาทในการกระตุ้นการอักเสบ หากยีนเหล่านี้มีการทำงานผิดปกติจะทำให้มีความเสี่ยงสูง ในการเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อปริทันต์ และกระดูกขากรรไกร การตรวจยีนจึงช่วยให้เราทราบถึงความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ และสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพช่องปากได้อย่างเหมาะสม

นวัตกรรมของ Geneus DNA ได้นำเทคโนโลยีการตรวจยีนมาใช้ในการวิเคราะห์สุขภาพอย่างแม่นยำ ผ่านกระบวนการตรวจสอบพันธุกรรมที่ทันสมัย Geneus DNA สามารถตรวจวิเคราะห์ยีนกว่า 20,000 ยีน และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพต่างๆ ไม่เพียงแต่โรคปริทันต์อักเสบ แต่ยังครอบคลุมถึงการวิเคราะห์ภูมิคุ้มกัน และความเสี่ยงต่อโรคทางพันธุกรรมอื่นๆ ด้วย 

การตรวจยีนของ Geneus DNA ช่วยให้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อโรคปริทันต์อักเสบสามารถป้องกัน และรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยให้ทันตแพทย์สามารถออกแบบการรักษาที่ตรงจุด สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรม ทำให้ลดโอกาสในการเกิดโรคในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

ตรวจโรคปริทันต์อักเสบ เหงือกอักเสบ Geneus DNA

chat line chat facebook