Rated 4.98-stars across 2K+ reviews
Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews

สังเกตอาการ โรคฝีดาษลิง เจาะลึกวิธีป้องกัน ต้องฉีดวัคซีนไหม?

GeneusDNA profile image By
GeneusDNA
|
Aug 22, 2024
|
327
สุขภาพ
โรค
โรคฝีดาษลิง,  ฝีดาษลิง อาการ, monkeypox คือ
Summary
โรคฝีดาษลิง,  ฝีดาษลิง อาการ, monkeypox คือ

โรคฝีดาษลิง อันตรายใกล้ตัวที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก รวมวิธีสังเกตอาการ พร้อมแนวทางการป้องกันตัว และวัคซีนที่ควรรู้ ไม่อยากเป็นฝีดาษลิงต้องระวังอะไรบ้าง รวมมาให้ที่นี่แล้ว

ในปี 2024 โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) กำลังแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส Monkeypox และมีการแสดงอาการที่ค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นการตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง ทั้งในเรื่องของอาการ วิธีการติดต่อ การป้องกัน และวัคซีนโรคฝีดาษลิง ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่เราควรให้ความสนใจ เพื่อไม่ให้ตัวเองติดโรค และช่วยควบคุมการระบาดจากคนสู่คนให้ลดลง

รู้จัก โรคฝีดาษลิง - ฝีดาษวานร ต้องระวังตัวอย่างไรบ้าง

โรคฝีดาษลิงคืออะไร

โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) หรือฝีดาษวานร เป็นโรคไวรัสที่เกิดจากเชื้อไวรัส Monkeypox ในตระกูล Orthopoxvirus ตระกูลเดียวกันกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษในคน (Smallpox) แม้ว่าโรคฝีดาษลิงจะมีลักษณะคล้ายกับโรคฝีดาษในคน แต่ความรุนแรงของโรคฝีดาษลิง ถือว่าน้อยกว่าโรคฝีดาษในคนพอสมควร

โรคฝีดาษลิงถูกพบครั้งแรกในปี 1958 จากการค้นพบเชื้อไวรัสในลิงทดลองที่ถูกนำมาใช้ในการศึกษา และทดลองเกี่ยวกับโรคฝีดาษ ส่วนสถานการณ์ในปัจจุบัน โรคฝีดาษลิงพบมากในสัตว์ฟันแทะ ที่อาศัยในธรรมชาติ เช่น หนู และกระรอก โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าฝนเขตร้อนของแอฟริกา อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถแพร่กระจายสู่มนุษย์ได้ ผ่านการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากสัตว์ที่ติดเชื้อ ตลอดจนจากคนสู่คน ซึ่งทำให้เกิดการระบาดในบางพื้นที่ 

อาการของโรคฝีดาษลิง

อาการของโรคฝีดาษลิง

อาการของโรคฝีดาษลิงเริ่มต้นด้วยอาการเบื้องต้นที่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ ดังนี้

  • มีไข้: เป็นอาการเริ่มต้นที่พบได้บ่อย
  • ปวดหัว: มักรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง และอาจมีไข้ร่วมด้วย
  • ปวดกล้ามเนื้อและปวดหลัง: อาการปวดกล้ามเนื้อและหลังสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ติดเชื้อบางราย
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม: ต่อมน้ำเหลืองที่คอและในบริเวณอื่น ๆ อาจบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • หนาวสั่นและอ่อนเพลีย: ความรู้สึกหนาวสั่นและอ่อนเพลีย เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในบางคน

หลังจากมีอาการเบื้องต้นเหล่านี้ไม่นาน ผื่นจะเริ่มปรากฏ โดยมักเริ่มจากใบหน้าและลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ผื่นนี้จะเปลี่ยนลักษณะไปตามระยะต่างๆ ตั้งแต่ตุ่มแดง ตุ่มน้ำ ตุ่มหนอง และในที่สุดก็จะกลายเป็นสะเก็ด

การติดต่อของโรคฝีดาษลิง มีวิธีแพร่ระบาดยังไงบ้าง

การติดต่อของโรคฝีดาษลิง มีวิธีแพร่ระบาดยังไงบ้าง

โรคฝีดาษลิงสามารถติดต่อและแพร่ระบาดได้หลายวิธี ดังนี้

  • การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย: การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ
  • สัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อ: เช่น การสัมผัสกับสัตว์ฟันแทะที่อาจมีเชื้อไวรัส
  • สัมผัสกับวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อ: รวมถึงเสื้อผ้าหรือเครื่องนอนที่มีการปนเปื้อนเชื้อ
  • ละอองฝอยจากระบบทางเดินหายใจ: การติดต่อผ่านละอองฝอย จากระบบทางเดินหายใจในระยะใกล้ชิด
  • สัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ: การสัมผัสกับเลือด หรือสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ติดโรคฝีดาษลิงได้

การติดต่อจากคนสู่คนมักเกิดขึ้นในระยะใกล้ชิดเป็นเวลานาน หรือผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง รวมถึงรอยโรคโดยตรง ดังนั้นหากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง หรือใกล้ชิดกับคนที่มีความเสี่ยงว่าอาจเป็นฝีดาษลิง จะต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ

ความรุนแรงและอันตรายของโรคฝีดาษลิง เป็นแล้วเสียชีวิตไหม?

โรคฝีดาษลิงมีความอันตราย แม้ส่วนใหญ่ไม่รุนแรงเท่ากับโรคฝีดาษในคน แต่ก็ถือเป็นโรคติดต่อที่ส่งผลต่อสุขภาพ และภาพลักษณ์ภายนอก โดยอันตรายและอัตราการเสียชีวิตจากโรคฝีดาษลิง มีดังต่อไปนี้

  1. อัตราการเสียชีวิตโรคฝีดาษลิง: อัตราการเสียชีวิตจากโรคฝีดาษลิงอยู่ที่ประมาณ 1-10% ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของไวรัสที่แพร่ระบาด
  2. อาการที่อาจเกิดขึ้น: ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายได้เองภายใน 2-4 สัปดาห์ แต่บางกรณีอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน การอักเสบของปอด หรือการติดเชื้อที่ตา
  3. กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดโรคฝีดาษลิงง่าย: เด็กเล็ก ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคฝีดาษลิงสูงกว่าผู้อื่น และอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการรุนแรงมาก

วิธีการป้องกันโรคฝีดาษลิง

วิธีการป้องกันโรคฝีดาษลิง

แม้ว่าจะไม่มีการรักษาเฉพาะสำหรับโรคฝีดาษลิง แต่โรคนี้สามารถหายได้เองในบางกรณี หรือลดโอกาสของการเป็นโรคฝีดาษลิงได้ ด้วยการใช้ยาต้านไวรัส เช่น Tecovirimat ซึ่งพัฒนามาสำหรับโรคฝีดาษในคน ทำให้อาจมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคฝีดาษลิงร่วมด้วย 

แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้มียาต้านไวรัสหรือวัคซีน สามารถป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ด้วยวิธีดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่มีเชื้อ: โดยเฉพาะในพื้นที่ที่โรคฝีดาษลิงระบาด
  • รักษาความสะอาด: การล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ
  • ใช้เครื่องป้องกันส่วนบุคคล (PPE): เมื่อดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อ
  • ฉีดวัคซีน: วัคซีนสำหรับโรคฝีดาษในคนสามารถป้องกันโรคฝีดาษลิงได้

วัคซีนฝีดาษลิง

วัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคฝีดาษลิงมักจะเป็นวัคซีนที่พัฒนามาจากวัคซีนฝีดาษในคน โดยเบื้องต้นมีวัคซีนสองชนิดที่สามารถใช้ป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ ได้แก่

  1. วัคซีน ACAM2000: เป็นวัคซีนที่ใช้สำหรับโรคฝีดาษในคน ซึ่งมีความสามารถในการป้องกันโรคฝีดาษลิง โดยวัคซีนนี้มีพื้นฐานจากไวรัสวัคซีน (Vaccinia virus) ที่ใกล้เคียงกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษลิง
  2. วัคซีน JYNNEOS (หรือ Imvamune/Imvanex): วัคซีนใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการป้องกันโรคฝีดาษลิงโดยเฉพาะ วัคซีนนี้มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากไม่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อ และสามารถใช้ในกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอได้

ด้านประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันโรคฝีดาษลิง คาดว่าอาจช่วยป้องกันโรคได้ดี และอาจมีความสามารถในการลดความเสี่ยงได้สูงถึง 85% ซึ่งจะช่วยได้มากเป็นพิเศษ หากได้รับการฉีดก่อนการสัมผัสกับเชื้อไวรัส

ทั้งนี้แม้ว่าวัคซีนป้องกันฝีดาษลิงอาจมีประสิทธิภาพสูง แต่วัคซีนฝีดาษลิงก็อาจมีผลข้างเคียงในบางคน เช่น บริเวณที่ฉีดอาจมีอาการบวมแดง หรือมีไข้เล็กน้อย ดังนั้นผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีประวัติแพ้ส่วนประกอบของวัคซีน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีน

 

 

chat line chat facebook