โรคไอกรน หรือที่รู้จักในชื่อ Pertussis หรือ Whooping Cough เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่พบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก โรคนี้มีลักษณะเด่นคืออาการไอรุนแรงต่อเนื่องที่อาจส่งผลให้เกิดเสียงหายใจ “ฮู้ป” (Whoop) โรคนี้สามารถรุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ในบางกรณีหากไม่ได้รับการรักษา
โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไอกรนจึงสำคัญสำหรับทุกคน
โรคไอกรนเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Bordetella pertussis ซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสละอองฝอยจากการไอหรือจามของผู้ติดเชื้อ เชื้อแบคทีเรียนี้จะปล่อยสารพิษที่ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจระคายเคือง จนเกิดอาการไอรุนแรงที่เป็นเอกลักษณ์ของโรค
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวัง
อาการของโรคไอกรนมักพัฒนาเป็นระยะ และมีความแตกต่างในแต่ละช่วง ดังนี้:
ระยะที่ 1: ระยะเริ่มต้น (Catarrhal Stage)
ระยะที่ 2: ระยะไอรุนแรง (Paroxysmal Stage)
ระยะที่ 3: ระยะฟื้นตัว (Convalescent Stage)
หมายเหตุ: สำหรับทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน อาจไม่มีเสียง “ฮู้ป” แต่ไอรุนแรงจนหยุดหายใจได้
โรคไอกรนหากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เช่น
หากสงสัยว่าเป็นโรคไอกรน ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย โดยแพทย์จะสั่งจ่ายยาและแนะนำการดูแลดังนี้:
การป้องกันโรคไอกรนสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการฉีดวัคซีน:
นอกจากนี้ควรปฏิบัติตามสุขอนามัย เช่น ล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไอ
แม้ว่าโรคไอกรนจะพบมากในเด็กเล็ก แต่ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุก็มีความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนกระตุ้น ซึ่งอาจมีอาการ เช่น ไอเรื้อรังนานกว่า 2 สัปดาห์ อาการคล้ายเป็นหวัดแต่ไม่หายขาด
ความสำคัญของวัคซีนป้องกันโรคไอกรน
วัคซีนเป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้ผลที่สุดในการป้องกันโรคไอกรน การรับวัคซีนครบตามกำหนดจะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและการแพร่กระจายสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะในชุมชนที่มีเด็กทารกหรือผู้สูงอายุ
สรุปได้ว่าโรคไอกรนเป็นโรคทางเดินหายใจที่สามารถรุนแรงได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ การป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน และการดูแลสุขอนามัยเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณหรือบุตรหลานมีอาการต้องสงสัย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
อย่าปล่อยให้คนที่รักป่วยโดยไม่รู้ตัว รู้ทันสุขภาพจากดีเอ็นเอจาก Geneus DNA ได้ที่นี่