Rated 4.98-stars across 2K+ reviews
Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews Rated 4.98-stars across 2K+ reviews

วิตามิน D3 K2 กินด้วยกันดีอย่างไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

GeneusDNA profile image By
GeneusDNA
|
Jul 08, 2024
|
19.67 k
รู้หรือไม่
สุขภาพ
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
วิตามิน D3 K2, วิตามิน d3 k2 กินด้วยกัน, แคลเซียมส่วนเกิน
Summary
วิตามิน D3 K2, วิตามิน d3 k2 กินด้วยกัน, แคลเซียมส่วนเกิน

เคล็ดลับสุขภาพ วิตามิน D3 และ K2 กินด้วยกัน ช่วยลดความเสี่ยงของการสะสมแคลเซียมส่วนเกินในร่างกาย ให้เหลือเพียงแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ

หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า การได้รับแคลเซียมมากเกินไป อาจทำให้มีปริมาณแคลเซียมส่วนเกินที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ จนทำให้เกิดความเสี่ยงในการป่วยได้หลายโรค ซึ่งหนึ่งในทางแก้ที่สะดวกก็คือการรับประทานวิตามิน D3 K2 ซึ่งมีประโยชน์และสรรพคุณในการลดการสะสมแคลเซียมส่วนเกิน ให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะปลอดภัยจากโรคที่คาดไม่ถึงในอนาคต

วิตามิน D3+K2 กินด้วยกันได้ไหม มีประโยชน์อะไรบ้าง?

ทำไมวิตามิน D3 K2 ถึงลดแคลเซียมส่วนเกินได้?

เป็นที่ทราบกันดีว่าแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ทั้งยังช่วยเพิ่มความสูงในวัยเด็กและช่วยส่งเสริมให้เด็กๆ เติบโตโดยมีส่วนสูงที่สมวัย ด้วยเหตุนี้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทแคลเซียมจึงได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มคนทั่วไป แต่นอกจากจะมีประโยชน์แล้ว แคลเซียมที่มากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดการสะสมหินปูนในหลอดเลือดจนเป็นอันตรายได้ ซึ่งแคลเซียมที่เป็นปัญหานี้จะถูกเรียกว่า "แคลเซียมส่วนเกิน"

แต่ปัญหาแคลเซียมส่วนเกินนี้สามารถป้องกันได้ โดยการทานวิตามิน D3 และ K2 พร้อมกัน เนื่องจากในวิตามินดี 3 และวิตามินเค 2 ไม่เพียงแต่มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมกระดูกให้แข็งแรง แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของหินปูนในร่างกายที่เกิดจากปริมาณสะสมของแคลเซียมส่วนเกินได้ด้วย

ทั้งนี้รูปแบบของ Vitamin D ที่หลายคนรู้จัก ได้แก่ D1, D2 และ D3 โดยวิตามิน D1 และ D3 (Cholecalciferol) จะพบได้ในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น ปลา นม และไข่ ในขณะที่วิตามิน D2 (Ergocalciferol) มักพบในผลิตภัณฑ์จากพืช เช่น เห็ด และสาหร่าย

วิตามิน d3 k2 มีประโยชน์ช่วยลดแคลเซียมส่วนเกินได้

 

วิตามินดี ได้รับจากแดดจริงหรือไม่?

กิจกรรมกลางแจ้งที่ช่วยให้ร่างกายได้สัมผัสกับแสงแดด ถือเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เนื่องจากช่วยกระตุ้นให้คอเลสเตอรอลใต้ผิวหนังเปลี่ยนเป็นวิตามิน D3 และวิตามิน D2 โดยการทำงานนี้เริ่มต้นจากการที่ตับและไตทำหน้าที่เปลี่ยนวิตามินดีให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมทำงานได้ นั่นคือ รูปแบบ 1,25(OH)2 หรือที่เรียกว่า วิตามิน D3 นั่นเอง

ในขณะเดียวกันงานวิจัยบางส่วนก็ได้มีการแสดงให้เห็นว่า คนที่หลีกเลี่ยงแสงแดดอยู่เสมอ อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดวิตามินดี จนส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ เนื่องจากวิตามินดีมีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมของแคลเซียม โดยใช้วิธีเข้าไปจับกับตัวรับในลำไส้ ซึ่งวิตามิน D3 จะมาในรูปแบบที่ร่างกายพร้อมดูดซึมและนำไปใช้ได้ทันที

 

วิตามินดี 3 ช่วยอะไรบ้างรูปที่ 1 กระบวนการสังเคราะห์วิตามิน D3 และ D2

 

วิตามินเค มีประโยชน์อย่างไร?

ประโยชน์ของวิตามินเค คือการช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงและส่งเสริมการทำงานของหัวใจ พร้อมลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว ซึ่งภาวะนี้ทำให้หลอดเลือดแดงตีบแคบลง จนการไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่เพียงพอและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

วิตามินเคเกี่ยวข้องกับกระดูกมากกว่าที่คิด

โดยทั่วไปแล้ว วิตามิน K มีอยู่ 2 ชนิดคือ K1 และ K2 ซึ่งมีส่วนช่วยในการสังเคราะห์โปรทรอมบิน โปรตีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแข็งตัวของเลือดและเมตาบอลิซึมของกระดูก โดยวิตามิน K1 หรือฟิลโลควิโนน มักพบได้ในผักใบเขียว

แต่ในทางตรงข้าม วิตามิน K2 หรือเมนาควิโนน จะพบได้ในอาหารหมักดอง เช่น นัตโตะ ทำให้วิตามิน K2 เป็นรูปแบบที่พร้อมดูดซึมและใช้งานได้ทันที ทั้งยังช่วยให้แคลเซียมสามารถดูดซีมเข้าสู่กระดูกได้ดียิ่งขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันจากการสะสมของแคลเซียมด้วย

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบว่า การรับประทานวิตามิน K2 ร่วมกับวิตามิน D3 จะช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก ซึ่งสำคัญต่อการเพิ่มมวลกระดูกได้เป็นอย่างดี

 

วิตามิน d3 k2 กินด้วยกันรูปที่ 2 วิตามิน D3/K2 และแคลเซียมที่เหมาะสม มีส่วนในการเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก

กินวิตามิน D3 ร่วมกับวิตามิน K2 ได้ผลลัพท์ที่ดียิ่งขึ้น

การทำงานร่วมกันระหว่างวิตามิน D3 กับ วิตามิน K2 ช่วยบำรุงหัวใจ กล้ามเนื้อ กระดูกและระบบภูมิคุ้มกัน เนื่องจากวิตามินทั้งสองจะเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูก และกระตุ้นการผลิตโปรตีนที่จับกับแคลเซียมที่ชื่อว่า ออสซีโอแคลซิน (osteocalcin) ดังนั้นวิตามินทั้งสองนี้จึงช่วยเสริมสร้างความหนาแน่นของมวลกระดูก รวมไปถึงส่งเสริมความแข็งแรงของกระดูกไม่ให้เปราะแตกง่าย

อย่างไรก็ตาม การได้รับแคลเซียมที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดการสะสมในหลอดเลือดและไต ซึ่งนำไปสู่ภาวะโรคหลอดเลือดตีบและนิ่วในไตได้ โดยได้มีงานวิจัยรายงานว่าการทานวิตามิน D3 ร่วมกับ K2 ช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้ เนื่องจากวิตามิน D3 K2 จะนำแคลเซียมส่วนเกินในเลือดดูดซึมกลับเข้าไปในกระดูก จึงช่วยลดการสะสมแคลเซียมในหลอดเลือดและลดการขับออกทางไตได้ดีขึ้น

นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังรายงานว่าวิตามิน D3 และ K2 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ T เซลล์ ในระบบภูมิคุ้มกันได้ด้วย จึงช่วยให้สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ดีขึ้น ดังนั้นการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีวิตามิน D3 และ K2 อย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความเสี่ยงของอาการเจ็บป่วยรุนแรงได้ เช่น ป้องกันการเกิดภาวะ long-COVID 

 

 

    

 

ใครควรกิน วิตามิน D3 K2 บ้าง

เด็กวัยเจริญเติบโตควรได้รับวิตามินดีและวิตามินเคในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูกและเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการทำให้เด็กในวัยเจริญเติบโตสูงขึ้นตามที่ควรจะเป็นด้วย

ด้านผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็กวัยกำลังเจริญเติบโต ซึ่งมีปริมาณวิตามิน D3 K2 อย่างเหมาะสมคือ Jelly CARE GRO+ เพราะนอกจากจะส่งเสริมความสูงสมวัย ยังช่วยบำรุงสมองอีกด้วย

โดยใน Jelly CARE GRO+ มีวิตามิน D3 ปริมาณ 200IU ซึ่งเทียบเท่ากับไข่ 4 ฟองครึ่ง และวิตามิน K2 0.0025 มก. เทียบเท่ากับบรอกโคลีจานใหญ่ ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและลดความเสี่ยงของการได้รับแคลเซียมที่มากเกินไปจนทำให้เกิดการสะสมเป็นหินปูนได้

 

References:

1.Schilling, R. (2013). Calcium, Vitamin D3 and Vitamin K2 Are Needed For Bone Health.

2. Goddek, S. (2020). Vitamin D3 and K2 and their potential contribution to reducing the COVID-19 mortality rate. International Journal of Infectious Diseases, 99, 286-290.

3. El Borolossy, R., & El-Farsy, M. S. (2021). The impact of vitamin K2 and native vitamin D supplementation on vascular calcification in pediatric patients on regular hemodialysis. A randomized controlled trial. European Journal of Clinical Nutrition, 1-7.

4. Huey, S. L., Acharya, N., Silver, A., Sheni, R., Elaine, A. Y., Peña-Rosas, J. P., & Mehta, S. (2020). Effects of oral vitamin D supplementation on linear growth and other health outcomes among children under five years of age. Cochrane Database of Systematic Reviews, (12).

5. Ahmed, L. H., Butler, A. E., Dargham, S. R., Latif, A., Chidiac, O. M., Atkin, S. L., & Abi Khalil, C. (2020). Vitamin D3 metabolite ratio as an indicator of vitamin D status and its association with diabetes complications. BMC endocrine disorders, 20(1), 1-8.

6. Lanham-New, S. A. (2008). Importance of calcium, vitamin D and vitamin K for osteoporosis prevention and treatment: symposium on ‘diet and bone health’. Proceedings of the Nutrition Society, 67(2), 163-176.DiNicolantonio, J. J., Bhutani, J., & O'Keefe, J. H. (2015). The health benefits of vitamin K. Open heart, 2(1), e000300.

7. Koshihara, Y., Hoshi, K., Ishibashi, H., & Shiraki, M. (1996). Vitamin K2 promotes 1α, 25 (OH) 2 vitamin D3-induced mineralization in human periosteal osteoblasts. Calcified tissue international, 59(6), 466-473.

chat line chat facebook